ถ้าพูดถึง การ์ตูนที่ถูกนำมาสร้างเป็นเกมส์ให้เราได้เล่นกันอย่างเพลิดเพลิน หลายคนอาจจะนึกถึงพวก สตรีทไฟเตอร์ KOF หรือ ตำนานหมาป่ากาโลว์ แต่วันนี้ Drama มีอะไรจะมานำเสนอ หลายคนอาจจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วนั่นก็คือ
jojo bizarre adventureโจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นแนวแฟนตาซี แอ็กชัน ผจญภัย เขียนโดย
ฮิโรฮิโกะ อารากิ ลงตีพิมพ์ในนิตยสารโชเน็นจัมป์รายสัปดาห์ ในเครือสำนักพิมพ์ชูเอฉะตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 - 2547 ทั้งหมด 6 ภาคจบ ส่วนลิขสิทธิ์ในประเทศไทยเป็นของ บริษัท เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์ จำกัด ซึ่งตีพิมพ์จบสมบูรณ์ทั้ง 6 ภาคแล้ว ด้วยจำนวนเล่มตั้งแต่ภาคที่ 1 ถึง 5 จำนวน 63 เล่มจบ และภาคที่ 6 (ซึ่งพิมพ์นับจำนวนเล่มใหม่) 17 เล่มจบ
เนื้อหาหลักทั้งหมดของทั้ง 6 ภาคนั้น จะมีความเกี่ยวเนื่องกันอยู่เล็กน้อย เนื่องจากตัวละครเอกทุกภาคจะมีความเกี่ยวข้องกันโดยสายเลือด ทั้งทางตรงและทางอ้อม กับตระกูล โจสตาร์ ซึ่งมี
โจนาธาน โจสตาร์ ตัวละครเอกของภาคที่ 1 เป็นต้นตระกูล โดยจะแบ่งเรื่องทั้งชุดออกได้เป็นสองช่วงหลัก ๆ นั่นคือ ช่วงแรก (ภาคที่ 1-2) จะใช้ความสามารถของ
"คลื่นพลังมนตรา" ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับลมปราณภายใน มาต่อสู้กับตัวร้ายที่เป็นเผ่าพันธุ์อมตะ และช่วงที่ 2 (ภาคที่ 3-6) จะใช้ความสามารถที่เรียกว่า
"สแตนด์" (Stand) ซึ่งเป็นพลังจิตที่ผู้ใช้สแตนด์สร้างให้มีตัวตนขึ้น และ มีความสามารถแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล เข้าต่อสู้กัน
พ.ศ. 2550 เนื้อเรื่องดำเนินมาถึงภาคที่ 7 : สตีล บอล รัน ในช่วงแรกผู้เขียนตั้งใจจะให้เป็นเนื้อเรื่องแยกออกมาจากเนื้อเรื่องเดิม โดยเปรียบเสมือนเป็นโลกคู่ขนานของซีรีส์หลัก มีเนื้อหาเกี่ยวกับการแข่งม้าข้ามทวีปอเมริกาที่ชื่อ สตีล บอล รัน แต่ในภายหลังก็ตัดสินใจยกให้เป็นโจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ ภาคที่ 7 (เริ่มตั้งแต่รวมเล่ม 5) และนำแนวคิดของความสามารถสแตนด์กลับมาใช้ในเรื่องเหมือนเดิมภาค 1 :
Phantom Blood : สายเลือดปิศาจ (1889 - Jonathan Joestar)เนื้อเรื่องกล่าวถึง
โจนาธาน โจสตาร์ โจโจ้ คนแรกในซีรีส์ เป็นลูกโทนในตระกูลโจสตาร์ซึ่งเป็นตระกูลผู้ดีอังกฤษ และ
ดิโอ บรันโด (Dio Brando)ด้วยการฉวยโอกาสจากความเข้าใจผิดของพ่อของโจโจ้ว่าพ่อของดิโอเป็นผุ้มีพระ คุณช่วยชีวิตในขณะประสบอุบัติเหตุ (ทั้งที่จริงไม่ใช่) เมื่อพ่อของบรันโดป่วยตายอย่างมีเงื่อนงำ บรันโดได้ถือโอกาสอ้างสิทธิ์ของผู้เป็นพ่อเข้ามายังตระกูลโจสตาร์ และพ่อของโจโจ้ยินดีรับดิโอเข้ามาเป็นบุตรบุญธรรม รวมถึงรับเลี้ยงดิโออย่างเท่าเทียมเสมอลูกคนหนึ่ง ทั้งคู่ต่างมีความคล้ายคลึงกันในบุคลิกและความสามารถ แต่ลักษณะของความคิดและนิสัยกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ดิโอมักจะหาโอกาสกลั่นแกล้งโจโจ้เสมอทันทีที่มีโอกาส และทั้งคู่ชอบผู้หญิงคนเดียวกัน
เมื่อโตขึ้น โจนาธาน โจสตาร์ได้ทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับอารยธรรมโบราณที่มีความเกี่ยวข้องกับการ สังเวยเลือดมนุษย์ และได้นำตัวอย่าง 'หน้ากากศิลา' กลับมา ต่อมาดิโอได้แอบเข้าไปค้นหาหน้ากากศิลา และค้นพบความลับของหน้ากากศิลาด้วยความบังเอิญ แต่ก็ยังไม่ได้ใช้หน้ากากนั้น จนกระทั่งความลับอันดำมืดของดิโอที่พยายามฆาตกรรมพ่อของโจโจ้ แต่ไม่สำเร็จและถูกเปิดโปงเสียก่อน ดิโอสูญสิ้นโอกาสและความหวังที่ตั้งใจ จึงตัดสินใจสวมหน้ากาก และได้รับพลังจากหน้ากากศิลา
หลังจากดิโอได้พลังของหน้ากากศิลาแล้วได้พยายามวางแผนทำลายตระกูลโจสตาร์ และแย่งชิงนางเอกมาจากโจนาธาน โจสตาร์ ในตอนจบเป็นบทที่ทั้งสองต่อสู้กัน จนในที่สุดโจนาธาน โจสตาร์เอาชนะดิโอได้โดยแลกกับความตายของตนเอง แต่ดิโอกลับหายสาปสูญไปหลังจากการต่อสู้ครั้งนั้นภาค 2 :
Battle Tendency : กระแสสงคราม (1939 - Joseph Joestar)ตัวเอกในภาคนี้คือโจเซฟ โจสตาร์ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของโจนาธาน โจสตาร์ในภาคแรก ซึ่งถูกเลี้ยงดูมาโดยเอริน่า โจสตาร์ภรรยาของโจนาธาน โจสตาร์ ภาคนี้ดำเนินเรื่องโดยมีชาติกำเนิดที่เป็นความลับของโจเซฟ โจสตาร์ ความสัมพันธ์ของตระกูลโจสตาร์กับตระกูลเซปเปลี่ กองทหารนาซีและมนุษย์หน้ากากศิลาทั้งสาม เป็นแกนเรื่อง ใครคือผู้ให้กำเนิดโจเซฟ เหตุใดซีซาร์ เซปเปลี่ถึงมีความภูมิใจในตระกูลจนลึกไปถึงแก่น การต่อสู้ระหว่างตระกูลโจสตาร์และมนุษย์หน้ากากศิลาทั้งสามจะเป็นอย่างไร
ภาค 3 :
Stardust Crusaders : นักรบประกายดาว (1989 - Cujoh Jotaro)
คูโจ โจทาโร่ ต้องเดินทางจากญี่ปุ่นไปยังอียิปต์เพื่อต่อสู้กับ
ดิโอ แบรนโด ศัตรูของบรรพบุรุษในภาคแรกที่ฟื้นกลับมาอีกครั้ง โดยในภาคที่ 3 นี้ถือว่า
เป็นภาคที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด เป็นภาคที่เริ่มแนะนำแนวคิดของ
สแตนด์ ซึ่งในช่วงแรกได้นำชื่อของ
ไพ่ยิปซี มาตั้งเป็นชื่อสแตนด์ ในช่วงหลังๆ ได้เริ่มนำชื่อวงดนตรีมาใช้แทน และใช้ต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน
ภาค 4 :
Diamond is Unbreakable : เพชรแท้ไม่มีวันสลาย (1999 - Higashikata Josuke)เรื่องราวเกิดขึ้นในญี่ปุ่น ที่เมืองโมริโอ ปี ค.ศ. 1999
ฮิงาชิคาตะ โจสุเกะ ลูกชายอีกคนหนึ่งของ
โจเซฟ โจสตาร์ กับหญิงสาวชาวญี่ปุ่น เนื้อหาเกี่ยวกับผู้ใช้สแตนด์ที่เพิ่มมากขึ้นจากการที่ใครบางคนใช้ธนูกับคัน ศรยิงคนทั่วไป ทำให้เกิดผู้ใช้สแตนด์ทั้งดีและร้าย โดยศัตรูสุดท้ายที่ร้ายกาจที่สุดก็คือ
คิระ โยชิคาเงะ ฆาตกรโรคจิตที่ได้รับพลังสแตนด์สำหรับฆ่าคนมา และใช้มันฆ่าหญิงสาวหลายสิบราย สุดท้ายแล้วพวกโจสุเกะก็ต้องรวมพลังกับผู้ใช้สแตนด์ฝ่ายดีทั้งหลายในเมือง เพื่อเอาชนะคิระให้ได้
ภาค 5 :
Golden Wind : สายลมทองคำ (2001 - Giorno Giovanna )โจรูโน่ โจบาน่า ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นลูกชายของ
ดิโอ แบรนโด แต่มีสายเลือดของโจสตาร์ โดยมี
ฮิโรเสะ โคอิจิ ตัวละครในภาค 4 เป็นคนเชื่อมเรื่องกับภาค 4 ในช่วงแรก ภาคนี้เป็นการชิงไหวชิงพริบในแก๊งมาเฟียอิตาลีที่โจรูโน่สังกัดอยู่ และเดินทางไปทั่วประเทศอิตาลีในเรื่อง นอกจากนี้ยังเปิดเผยความลับของธนูและคันศร รวมถึงที่มาของสแตนด์อีกด้วย
ภาค 6 :
Stone Ocean : สมุทรศิลา (2010 - Cujoh Joelyne )คูโจ โจลีน ลูกสาวของ
คูโจ โจทาโร่ ที่ถูกอุบายทำให้ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำกรีน ดอลฟิน สตรีท ที่มลรัฐฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา ในภาคนี้ได้แนะนำแนวคิดของ ดิสก์ ที่ตัวร้ายคือบาทหลวงเอ็นริเก้ พุซซี่ ใช้ในการมอบความสามารถสแตนด์ให้กับมนุษย์คนใดก็ได้ Stone Ocean ยังเป็นภาคที่มีการแยกชื่อภาคออกมาอย่างชัดเจน และในการตีพิมพ์ฉบับรวมเล่มก็ได้เริ่มนับเล่มใหม่ตั้งแต่เล่ม 1 ด้วย (ถึงแม้จะมีตัวเลขที่นับต่อจากภาค 5 กำกับไว้ด้วย)
บทสรุปของภาค Stone Ocean ถือเป็นบทสรุปของจักรวาลโจโจ้ที่สมบูรณ์
ภาค 7 :
STEEL BALL RUN : สตีล บอล รัน (1890 - Gyro Zeppeli, Johny Joestar)เนื้อเรื่องย้อนกลับไปในปี 1890 มหาเศรษฐีสตีเฟ่น สตีลได้จัดการแข่ง สตีล บอล รัน ขึ้น เป็นการแข่งม้าข้ามทวีปอเมริกาเหนือ เริ่มตั้งแต่เมืองซานดิเอโก้ ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย จนถึงนครนิวยอร์ก โดยผู้ชนะเลิศจะได้รับเงินรางวัล 50 ล้านดอลล่าร์ ตัวเอกในภาคนี้กลับไม่ใช่คนในตระกูลโจสตาร์อย่างที่แล้วๆมา แต่เป็นทายาทตระกูลสนิทของโจสตาร์คือ ไจโร่ เซ็ปเปลี่ แต่สายเลือดโจสตาร์ก็ยังปรากฏตัวในบทพระรองได้แก่ โจนี่ โจสตาร์ รวมถึงตัวละครในโลกคู่ขนานของ 6 ภาคก่อนหน้าก็มาปรากฏโฉมอีกหลายต่อหลายตัวละคร
ภาพยนตร์การ์ตูน * ได้นำภาค 3 มาทำเป็นภาพยนตร์การ์ตูน ในรูปแบบโอวีเอ ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1993 ความยาว 6 ตอน เริ่มตั้งแต่พวกโจทาโร่อยู่ในอียิปต์ (เล่ม 12 ตามหนังสือการ์ตูน)
* ปี ค.ศ. 2001 ได้นำภาพยนตร์การ์ตูนตอนก่อนหน้าของภาพยนตร์การ์ตูนเดิม ตั้งแต่ช่วงแรกของภาค 3 ความยาว 7 ตอน
วีดีโอเกม* ภาค 3 ถูกนำมาทำเป็นวิดีโอเกมแบบ RPG ลงในเครื่องซูเปอร์ฟามิคอม ค.ศ. 1993
* ภาค 3 ถูกนำมาทำเป็นวิดีโอเกมอีกครั้งในเครื่องเพลย์สเตชัน รูปแบบเกมต่อสู้ โดยบริษัทแคปคอม ค.ศ. 1999
ปล. ภาค3 ยังถูกนำมาลงในเครื่อง Dreamcast อีกด้วย แต่ในข้อมูลไม่ได้เขียนไว้
*แคปคอมได้นำภาค 5 มาทำเกมลงเครื่องเพลย์สเตชัน 2 ในปี ค.ศ. 2002
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยชื่อสแตนด์ของการ์ตูนเรื่องนี้ ในภาค 3 มาจากชื่อของไพ่ทาโร่ต์ (เช่น Star Plattinum มาจากชื่อไพ่ The Star) และบางส่วนจากเทพเจ้าอียิปต์โบราณ (เช่น Anubis เทพผู้ควบคุมความตาย) ส่วนตั้งแต่ภาค 4 เป็นต้นไปผู้เขียนมักจะนำมาจากชื่อวงดนตรีทางฝั่งยุโรปและอเมริกาและชื่อ เพลงของวงดนตรีต่างๆ อาทิเช่น Spice girls , Oasis
ภาคที่ 1-7สายเลือดของตระกูลโจสตาร์ ทุกคนยังมีปานรูปดาวบนหลังคอด้วย (ประมาณหลังคอเยื้องมาหลังบ่าด้านซ้าย ถ้าตามต้นฉบับญี่ปุ่น)
ภาคที่ 3 ภาคนี้เป็นภาคแรกที่มี Stand และความสามารถดังกล่าวไม่ได้พบในมนุษย์เท่านั้น สามารถพบได้ในสัตว์ เช่น ลิง สุนัข นก รวมถึงสิ่งไม่มีชีวิต เช่น ดาบ เสาไฟฟ้าแรงสูง ฯลฯ ด้วย
ปกติ นักสู้1ชีวิต จะมีStandได้แค่1เท่านั้น ยกเว้นเจ้าหนูเป่ายิงฉุบ และStandนั้นอาจมีความสามารถได้มากกว่า1อย่างก็ได้
ภาคที่ 4 * สัญลักษณ์ในภาคนี้คือ หัวใจ และ สันติภาพ (Peace) สื่อถึงความสงบสุขและความรักในเมืองเกิดของตน
* สแตนด์ เครซี่ ไดมอนด์ ของโจสุเกะ ดัดแปลงมาจากสแตนด์ เดอะเวิร์ลด์ ของ DIO
* หลายๆฉากในภาคนี้ นำมาจากภาพยนตร์ของสตีเฟ่น คิง เช่นฉาก อวคอ เนคเลซ ในท่อระบายน้ำ จากเรื่อง The Shining หรือฉากกองทหาร จากเรื่อง แบด คัมพานี *ชื่อสแตนด์ อะตอม ฮาร์ท ฟาเธอร์ ดัดแปลงมาจากชื่ออัลบั้ม Atom Heart Mother โดย Pink Floyd
ภาคที่ 5 * ชื่อตัวละครในภาคนี้ส่วนใหญ่จะนำมาจากชื่อของอาหารต่างๆในภาษาอิตาลีเช่น รีส็อตโต (Resotto) แพนนาก็อตตา (Pannacotta)
* ในเนื้อเรื่องมีการกล่าวถึงตัวละครบางตัวถูกฆ่าโดยการหั่นเป็นชิ้นๆและใส่กรอบไว้ มีลักษณะคล้ายกับงาน Some Comfort Gained from the Acceptance of the Inherent Lies in Everything โดยศิลปินแนวป๊อบอาร์ตชาวอังกฤษที่ชื่อ Damien Hirst ที่นำวัวทั้งตัวมาหั่นเป็นชิ้นแล้วใส่กรอบไว้ ซึ่งผลงานลักษณะนี้มีให้เห็นในภาพยนตร์เรื่อง The Cell ด้วย
* แม้ในเรื่องจะไม่กล่าวถึง แต่เต่าที่มีกุญแจติดอยู่ข้างหลัง ถูกระบุชื่ออย่างเป็นทางการไว้ว่า Coco Jumbo และชื่อสแตนด์ของมันก็คือ Mr. President
* สัญลักษณ์ในภาคนี้คือเต่าทอง สื่อความหมายถึงชีวิตและความเป็นอมตะ
ภาคที่ 6 * ชื่อสแตนด์ สโตน ฟรี ของ โจลีน มาจากชื่อเพลงเพลงหนึ่งของ จิมมี่ เฮนดริกซ์ (ชื่อนี้เป็นชื่อ albumของ jimi hendrix ด้วย)
* นอกจากคูโจ โจลีน แล้ว ตัวละครอื่นทุกตัวที่ปรากฏชื่อออกมาล้วนแต่นำมาจากชื่อสินค้า Brand ต่างๆทั้งสิ้น เรียงตามการปรากฏตัวดังนี้
แอเมส (Hermes) เอมโพริโอ้ (Emporio) เกส (Guess) ปุชชี่ (Emilio Pucci) ฌองการี อาโน่ (John Galliano) อเล็กแซนเดอร์ แมคควีน (Alexander McQueen) มิราชั่น (Mirashon) แรงเลอร์ (Wrangler) สปอร์ต แม็กซ์ (Sports Max) แอนนาซุย (Anna Sui) กุชชี่ (Gucci) โซนี่ (Sony) วิเวียน เวสต์วู้ด (Vivian Westwood) เคนโซ (Kenzo) ดีแอนด์จี โดลเช่ แอนด์ กับบาน่า (D&G - Dolce&Gabbana) มิวมิว (Miumiu) อุงกาโร่ (Emanuel Ungaro) ริคิเอล (Sonia Rikiel) โดนาเทลล่า เวอร์ซาเช่ (Donatella Versace)
* ในตอนของเวธเธอร์รีพอร์ตตอนแรก ฉากฝนกบ เหมือนกับภาพยนตร์เรื่อง Magnolia
* ในตอนของมิวมิว อาการความจำสั้นจนต้องสักข้อความต่างๆไว้บนร่างกาย เหมือนกับภาพยนตร์เรื่อง Memento
* สัญลักณ์ของภาคนี้คือผีเสื้อติดไยแมงมุม ผีเสื้อสื่อถึงอิสรภาพและการเจริญเติบโต ส่วนไยแมงมุมสื่อถึงการติดกับดัก
Credit :
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B9%89_%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A8%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A9